กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิดในสกุล
บางชนิดก็ออกหน่อแต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่
ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น
ที่มิใช่ทั้งปาล์มและกล้วย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กล้วยเป็นไม้ดอกล้มลุกขนาดใหญ่[1] ทุกส่วนเหนือพื้นดินของกล้วยเจริญจากส่วนที่เรียกว่า "หัว" หรือ
"เหง้า"[2] ปกติแล้ว
ต้นกล้วยจะสูงและแข็งแรงพอสมควร ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นต้นไม้ ซึ่งแท้จริงแล้วส่วนที่คล้ายกับลำต้นคือ
"ลำต้นเทียม" (pseudostem) ใบของกล้วยประกอบด้วย
"ก้านใบ" (petiole) และแผ่นใบ (lamina) ฐานก้านใบแผ่ออกเป็นกาบ กาบที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่นทำให้เกิดลำต้นเทียม
มีหน้าที่ชูก้านใบ พยุงให้พืชตั้งตรงดูคล้ายต้นไม้ เมื่อแรกเจริญขอบของกาบจะจรดกันคล้ายท่อ
เมื่อมีใบเจริญขึ้นใหม่ที่ใจกลางลำต้นเทียม ขอบกาบที่จรดกันนั้นก็จะแยกออกจากกัน[3]
พันธุ์กล้วยนั้นมีความผันแปรมากขึ้นอยู่กับพันธุ์ปลูกและสภาพแวดล้อม
โดยมาก สูงประมาณ 5 เมตร (16 ฟุต) จาก 'กล้วยหอมแคระ (Dwarf Cavendish)' ซึ่งสูงประมาณ 3
เมตร (10 ฟุต) ไปจนถึง 'กล้วยหอมทอง
(Gros Michel)' ที่สูงประมาณ 7 เมตร (23
ฟุต) หรือมากกว่า[4][5] ใบแรกเจริญจะขดเป็นเกลียวก่อนที่จะแผ่ออก
อาจยาวได้ถึง 2.7 เมตร (8.9 ฟุต)
และกว้าง 60 ซม (2.0 ฟุต)[6] แผ่นใบมีขนาดใหญ่ ปลายใบมน รูปใบขอบขนาน โคนใบมน มีสีเขียว[7] ใบฉีกขาดได้ง่ายจากลม ทำให้บางครั้งมองดูคล้ายใบเฟิร์น[8] รากเป็นระบบรากฝอย แผ่ไปทางด้านกว้างมากกว่าทางแนวดิ่งลึก
เมื่อกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่
หัวจะสร้างใบสุดท้ายที่เรียกว่า "ใบธง"[7] จากนั้นจะหยุดสร้างใบใหม่
และเริ่มสร้างช่อดอก (inflorescence) ลำต้นที่มีช่อดอกอ่อนบรรจุอยู่
จะพัฒนาขึ้นภายในลำต้นเทียม จนในที่สุดมันก็โผล่ออกที่ด้านบนลำต้นเทียม[9] แต่ละลำต้นเทียมจะสร้างช่อดอกเพียงช่อเดียว ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "ปลี
(banana heart)" (บางครั้งมีกรณีพิเศษ
เช่นกล้วยในประเทศฟิลิปปินส์สร้างปลีขึ้นมาห้าหัว[10]) ช่อดอกประกอบด้วยกลุ่มของช่อดอกย่อยเป็นกลุ่มๆ
มีใบประดับสีม่วงแดงหรือที่เรียกว่า "กาบปลี"[7] (บางครั้งมีการเข้าใจผิดเรียกเป็นกลีบดอก)
ระหว่างแถวของช่อดอกย่อย ช่อดอกย่อยแต่ละช่อมีดอกเรียงซ้อนกันอยู่ 2 แถว ดอกตัวเมีย (ที่สามารถเจริญเป็นผลได้)
จะอยู่ในช่อดอกย่อยที่บริเวณโคนปลี (ใกล้กับใบ) ดอกตัวผู้จะอยู่ที่ปลายปลี
หรือส่วนที่เรียกว่า "หัวปลี"[7] รังไข่อยู่ต่ำกว่าซึ่งหมายความว่ากลีบดอกขนาดเล็กและส่วนอื่นๆ
ของดอกจะอยู่ในปลายรังไข่[11] หลังให้ผล ลำต้นเทียมจะตายลง
แต่หน่อหรือตะเกียงจะพัฒนาขึ้นจากตา (bud) ที่หัว
ส่งผลให้กล้วยเป็นพืชหลายปี หากเกิดขึ้นหลายหน่อพร้อมกันจะเรียกว่า
"การแตกกอ"[7] ในระบบการเพาะปลูก
จะอนุญาตให้เจิญเติบโตเพียงหน่อเดียวเท่านั้นเพื่อให้ง่ายต่อการจัดสรรพื้นที่
ผลกล้วยพัฒนาจากดอกเพศเมีย กลุ่มของดอกเพศเมีย
1 กลุ่มเจริญเป็นผลเรียกว่า "หวี (hands)" ซึ่งหวีหนึ่งๆ
มีผลกล้วยประมาณ 20 ผล กลุ่มหวีบนช่อดอกเจริญเป็น
"เครือ (banana stem)" ซึ่งอาจมี 3-20 หวี ผลของกล้วยมีการเจริญได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์
จึงทำให้กล้วยส่วนใหญ่ไม่มีเมล็ด[7]
ดอกตัวเมีย (ซึ่งจะเจริญไปเป็นผล)
มีกลีบดอกและส่วนอื่นที่ปลายรังไข่ (รังไข่อยู่ต่ำกว่า (inferior))
ผลกล้วยได้รับการบรรยายเป็น "leathery
berry (ลูกเบอร์รี่ที่คล้ายแผ่นหนัง)"[13] มีชั้นป้องกันภายนอก (เปลือก) มีสายบางๆ ตามยาว (มัดท่อลำเลียงโฟลเอ็ม)
อยู่ระหว่างเปลือกและส่วนที่รับประทานได้ภายใน เนื้อกล้วยมีเนื้อนิ่มสีเหลือง
มีรสหวานคล้ายขนม เมล็ดกล้วยมีลักษณะกลมเล็ก บางพันธุ์มีขนาดใหญ่ เปลือกหนาแข็ง
มีสีดำ สำหรับในสายพันธุ์ปลูก เมล็ดกล้วยมีขนาดเล็กมากเกือบจะไม่มีเลย
เหลือแค่เพียงจุดสีดำเล็กๆ ภายในเนื้อกล้วยเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น